เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ มี.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน เราแสวงหาสัจธรรม ทำไมถึงต้องแสวงหา? แสวงหามาเพื่อความสุขไง แสวงหามาเพื่อความดีงามไง ความดี ความดีงาม บุญกุศลให้ผลเป็นสุข ให้ผลเป็นสุขนะ ให้ผลเป็นสุข เห็นไหม บาปอกุศล ความทุจริตให้ผลเป็นทุกข์ วันนี้วันศาสนา เขาว่า ศาสนาค้ำจุนโลกๆ

ศาสนาค้ำจุนโลกนะ แต่เวลาพระบวชมาแล้วจะให้โลกค้ำจุนไง โลกค้ำจุนศาสนา ถ้าโลกค้ำจุนศาสนา มันต้องเป็นเรื่องโลกก่อน เรื่องโลกก่อนเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากพระนางสิริมหามายา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่นี่คือโลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกทัศน์ โลกภายใน ถ้าไม่มีโลกภายใน มันไม่มีสัตว์เกิด สัตว์เกิดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวลาจะเกิด เวลาเกิดมา เกิดมาแล้วเดิน ๗ ก้าว เปล่งวาจาว่า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

ขนาดเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะยังหานางพิมพาไว้ให้ นางพิมพายังเกิดสามเณรราหุล นั่นน่ะ โลกทั้งนั้นน่ะ โลกค้ำจุนศาสนา ถ้าโลกค้ำจุนศาสนา โลกค้ำจุน โลกเจือจานไง ค้ำจุนศาสนา ถ้าโลกค้ำจุนศาสนานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าอยู่ ๖ ปี เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นแหละ เรื่องโลกๆ คือฌานโลกีย์ คือเรื่องอภิญญา เรื่องโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ สัจธรรมในหัวใจ เห็นไหม สัจธรรมในหัวใจมันครอบโลกธาตุ

เวลาหลวงตาท่านบอกว่า เวลาภาวนาไปแล้ว เวลาจิตมันทำลายอวิชชาในหัวใจของตัวแล้ว มันไปได้ ๓ โลกธาตุ ท่านบอกว่ามันไปได้ไม่มีขอบเขต ๓ โลกธาตุ จักรวาลหนึ่ง จักรวาล ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันบรรจุไว้ในจิตใจที่ชำระล้างแล้ว มันบรรจุไว้ มันเวิ้งว้าง มันกว้างขวางขนาดนั้น เห็นไหม มันค้ำจุนโลกๆ คือว่าโลกใบเดียว โลกใบเดียว จักรวาล โลกแค่เล็กน้อยนัก แต่ธรรมะ สัจธรรมมันสูงส่งมาก มันมีคุณค่ามาก ถ้ามีคุณค่ามาก เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้ว สัจธรรมๆ อันนั้นมันแสดงออกกลางหัวใจนั้น ถ้าแสดงออกกลางหัวใจนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดถึง จิตดวงหนึ่ง การเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตดวงหนึ่งถ้าเอาแต่ละภพแต่ละชาติมากองไว้ กองมากกว่าโลกนี้ กองมากกว่าโลกนี้ การเวียนว่ายตายเกิดไม่มีสิ้นสุด วิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้แค่นั้นแหละ แต่เวลาพิสูจน์กัน จิตดวงหนึ่งเวลาเวียนว่ายตายเกิด ภพชาติหนึ่งคือชาติหนึ่ง คือศพหนึ่ง ว่าอย่างนั้นเถอะ เวลาเกิดเป็นสัตว์ก็ซากสัตว์ซากหนึ่ง ถ้ามันไม่เน่าเปื่อย นี่ซับสมไว้ๆ ไง

คนเราเกิดมามีแต่ความทุกข์ความยาก พิไรรำพันร่ำไห้ น้ำตาของคนถ้าเก็บไว้แต่ละภพแต่ละชาติ เก็บไว้โดยที่ไม่ระเหยไปนะ ทะเลสู้ไม่ได้ เห็นไหม การเวียนว่ายตายเกิดไง การเวียนว่ายตายเกิดนี่ผลของวัฏฏะๆ ไง ถ้าผลของวัฏฏะ

โลกค้ำจุนศาสนา ค้ำจุนศาสนาอย่างไร ค้ำจุนศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์สร้างคุณงามความดี คุณงามความดีมันไปแต่งพันธุกรรมของใจ ใจของคนคิดแต่เรื่องดีๆ ทำแต่เรื่องดีๆ คำว่า “เรื่องดีๆ” เสียสละได้ทุกๆ อย่าง เป็นสัตว์ เป็นหัวหน้าสัตว์ เสียสละชีวิตเพื่อหมู่คณะ เสียสละชีวิตเพื่อฝูงสัตว์นั้น เสียสละชีวิตๆ เสียสละชีวิตแล้วมันได้อะไรล่ะ

เป็นสัตว์ก็อยู่ในป่า นายพรานเขาออกไปล่า เวลาตายก็ตายเปล่า มันไม่มีใครได้อะไรเลย ตายไปแล้วซากนั้นเขายังจะเอาไปกิน แล้วหัวใจมันได้อะไรล่ะ หัวใจที่มันเสียสละ เสียสละโดยไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นไง เสียสละขึ้นมา เสียสละเพื่อความเป็นจริงในหัวใจ นี่พันธุกรรมที่มันตัดแต่งมันตัดแต่งด้วยสติปัญญาในหัวใจ มันตัดแต่ง มันทำคุณงามความดีขึ้นมาในใจนี้ ถ้าใจนี้สร้างแต่คุณงามความดีมา นี่โลกค้ำจุนศาสนา พระโพธิสัตว์ได้สร้างสมบุญญาธิการมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมค้ำจุนโลก ธรรมค้ำจุนโลกนะ เวลาแสดงธรรมได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ ได้เพื่อนของยสะ “ภิกษุทั้งหลายเธอจงเผยแผ่ธรรม อย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก อย่าไปซ้อนทางกัน” เพราะมันจะเสียโอกาสไง ๖๑ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไป ๖๐ สาย ให้กว้างขวางไป โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก มันอัดอั้นตันใจ มันหาทางไปไม่ได้ ทำสิ่งใดมันก็มีแต่สะสมขึ้นมา มันมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ความทุกข์ทั้งนั้น แล้วมันจะไปทางไหน เห็นไหม โลกนี้เร่าร้อนนัก

แต่โลกนี้เร่าร้อนนักเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ไปอย่าซ้อนทางกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเราจะไปราชคฤห์ จะไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง เห็นไหม ถ้าบูชาไฟ โทสัคคินา โมหัคคินา โทสัคคิ โมหัคคิ มันเป็นไฟ มันแผดเผาๆ ความคิดความเห็นของเราโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพาให้แผดเผาเราๆ ถ้าแผดเผาเรา แล้วทำอย่างไรจะให้เท่าทันมันล่ะ ไฟ ๓ กองทำอย่างไรจะให้มันมอดไหม้ในหัวใจเรา จะทำอย่างไร

เธอจงทำความสงบของใจเข้ามา แล้วใช้ปัญญาแยกแยะ ถ้าปัญญาแยกแยะ นี่พูดถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนชฎิล ๓ พี่น้องให้เป็นพระอรหันต์

แต่ของเรา เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นบริษัท ๔ เราทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีเพราะธรรมโอสถ ธรรมโอสถ เราเลือกคัดแยกเอา ให้ธรรมโอสถชโลมในหัวใจของเรา เรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามา ศึกษาแล้วให้มีที่พึ่งที่อาศัย ถ้าที่พึ่งที่อาศัยนะ สิ่งใดที่กระทบหัวใจขึ้นมาแล้วมันจะไม่ต้องทุกข์ยากจนเกินไปนัก เวลาทำบุญกุศลก็ทำบุญกุศลเพื่อความสงบระงับในใจของตัว

พอใจสงบระงับเข้ามา หน้าที่การงานมันก็เป็นหน้าที่การงานนั่นแหละ ปัญหาที่มันใหญ่โตขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีสติปัญญาแล้วปัญหานั้นเป็นปัญหาเล็กน้อยมาก แต่ถ้าจิตใจนี้มันทุกข์มันยาก ปัญหาเล็กน้อยก็เป็นปัญหาที่ใหญ่โตมาก แล้วหน้าที่การงานของเรา เราหาเพื่อดำรงชีวิตนะ ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าเรามีชีวิตขึ้นมา เรามีอาหารมื้อหนึ่งเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตนี้ มันเห็นคุณค่า มันเห็นคุณค่าแค่อาหารมื้อหนึ่ง มันไม่เห็นคุณค่าตั้งแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะไปกว้านโลกมาเป็นของเรา มันจะไปกว้านโลกมาเป็นของเรา แล้วมีการเบียดเบียนกัน มีการกระทบกระทั่งกัน สิ่งนั้นมันก็ทับถมหัวใจ

ถ้ามีสติปัญญา ผู้ใดโกรธเราแล้วเราโกรธตอบ เราโง่กว่าเขา แล้วดูสังคมโลกสิ เวลาเขาติฉินนินทา เขาบีบคั้น เขาบีบคั้นเราทั้งนั้นแหละ ถ้าเราไปโต้ตอบมันก็โต้ตอบทางโลก ถ้าเรามีสติปัญญา

เขาบอกว่า “เป็นลัทธิยอมจำนน”

ไม่ใช่ลัทธิยอมจำนน ลัทธิคุมเกม เราเป็นคนควบคุมเกม เราเป็นคนมีสติปัญญาที่เขาแสดงออกโดยอย่างนั้น เรามีสติปัญญา เรารู้เขาโกรธเพื่ออะไร เขาต้องการอะไร เขาจะทำอะไรสิ่งใดกับเรา เราก็พูดของเรา เราก็บริหารจัดการของเราเพื่อการเจรจา นี่เรามีสติปัญญาของเรา เราไม่โกรธตอบไง ถ้าโกรธตอบเราก็โง่น่ะสิ เพราะโกรธตอบ เพราะความโกรธ ไฟโทสัคคินา โลภัคคินามันแผดเผา มันแผดเผามันก็มืดบอด พอมันมืดบอดมันก็มีแต่การเบียดเบียนกัน มีการกระทบกระทั่งกัน

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เขาโกรธแล้ว เราเห็นความโกรธ ความโกรธนี้ไม่ดีเลย ความโกรธนี้ทำคนขาดสติ ความโกรธนี้คนขาดปัญญา เราเห็นแล้ว เขาโกรธต่อหน้าเราแล้วเราจะโกรธต่อหน้าเขาไหม นี่เวลามีสติมันคิดได้อย่างนี้ แต่เวลาจริงๆ ใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้หรอก ใช้ชีวิตประจำวันไม่ต้องโกรธเขาหรอก มันจะไปเอาเขาก่อนนู่นน่ะ เพราะอะไร เพราะขาดการฝึกฝน เพราะขาดการกระทำไง เพราะขาดการฝึกหัดสติ

เราทำบุญกุศล บุญกุศลนี้เป็นบุญนะ บุญกุศลเพราะอะไร เพราะเราเสียสละ เราเสียสละไป สิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ คนที่ใช้ประโยชน์นั้นมันจะได้ความสะดวกสบายไหม? ได้ความสะดวกสบาย ความสะดวกสบายเกิดจากใคร? เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเราใช่ไหม ของที่เกิดจากเราเป็นบุญไหม? เป็นทั้งนั้นแหละ มันสะสมมาเป็นทิพย์ๆ เป็นทิพย์ตรงไหน เป็นทิพย์ ทำบุญมากี่สิบปีก็แล้วแต่ เรานึกถึงสิ มันยังสดๆ ร้อนๆ ไม่เน่าไม่เสีย เป็นทิพย์ เป็นทิพย์เพราะอยู่ในหัวใจของเรา นี่พันธุกรรมของมันตัดแต่งอย่างนี้ๆ ให้มันดีขึ้นมา นี่พูดถึงว่าบุญกุศลไง

แต่ถ้าเวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสบูชาเลย” สิ่งที่เราบูชาๆ นี่อามิสบูชา เรามีน้ำพักน้ำแรง เราแสวงหาสิ่งนี้มา แสวงหาสิ่งนี้มา เรามีเจตนาเสียสละ เสียสละเป็นอามิส แต่ถ้าเราปฏิบัติบูชา ปฏิบัติบูชาก็ฝึกหัดสติไง ถ้าเราไม่มีสติ เราจะนั่งสมาธิได้ไหม ถ้าเราไม่มีสติ ความคิดความเห็นของเรามันจะผิดพลาดบ้างไหม นี่เรามีสตินะ

เวลาฝึกหัด เวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เราจะทึ่งมาก ทึ่งมากเพราะอะไร เพราะเวลาสุตมยปัญญาศึกษาขนาดไหน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาแล้วซาบซึ้งๆ ศึกษาไปแล้วก็ทบทวน เดี๋ยวลืมก็เปิดพระไตรปิฎก เปิดแล้วเปิดเล่า นี่สุตมยปัญญาโดยสัญญา

เวลาจินตนาการ ทำสมาธิขึ้นมามันเวิ้งว้าง มันมีความสุข นี่จินตมยปัญญา จินตนาการ เพราะเวิ้งว้างแล้วเดี๋ยวมันก็เศร้าหมอง เวิ้งว้างแล้วเดี๋ยวมันก็คลายตัวออกมา มันจะว่างขนาดไหนเดี๋ยวมันก็ไม่ว่าง เดี๋ยวมันก็อึดอัดขัดข้องไป

เราทำความสงบของใจให้มากขึ้น เวลามันเกิดภาวนามยปัญญาไง เวลาเกิดภาวนามยปัญญา มันถอดมันถอน มันถอดมันถอนอะไร? มันถอดถอนไอ้อวิชชา ถอดถอนความไม่รู้ ความไม่รู้แจ้งไง ถ้าความรู้แจ้งนะ ดูสิ คนทำอาหารเป็น เข้าครัวเมื่อไหร่มันก็พับๆๆ คนทำอะไรเป็นเข้าไหนก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ คนขับรถเป็น ขึ้นจับพวงมาลัยมันไปแล้ว คนขับรถไม่เป็น ขึ้นไปแล้วมันหันรีหันขวาง

จิตใจที่มันทำเป็นแล้ว ภาวนามยปัญญา ใจที่มันฝึกหัด ใจที่เกิดปัญญาโดยภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากใจนั้น ใจนั้นได้ฝึกหัดแล้ว ใจนั้นมีความชำนาญแล้ว ใจนั้นจะทำได้ไหม เกิดธรรมจักรๆ ใจนั้นที่มันเกิดขึ้นมามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากใจนั้น มันไม่ใช่เกิดจากสัญญา ไม่ใช่เกิดจากการจำมา

ไปโรงแรมกินอาหารชั้นหนึ่งเลย สุดยอดเลยล่ะ เหรียญทอง ๕-๖ เหรียญ อู้ฮู! สุดยอดเลย แต่ทำไม่เป็น กินเสร็จแล้วหมดจาน ขออีกจานหนึ่งได้ไหม กินหมดแล้วเขาวางบิล เห็นไหม เพราะเราไปกินของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ใช่ของเรา

เราไปทำเองๆ เราทำเอง ภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนา แล้วมันเป็นเองขึ้นมา มันเป็นเองขึ้นมาในใจอันนั้นมันถึงแก้กิเลสได้ แต่ถ้ามันไปยืมเขามา มันเป็นของยืม ของยืม เห็นไหม โลกค้ำจุนศาสนาหรือศาสนาค้ำจุนโลก ถ้าโลกค้ำจุนศาสนา พระเราอ่อนแอ ที่ว่าเวลาประพฤติปฏิบัติไปก็มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจว่าไม่มีใครค้ำจุน ไม่มีใครดูแล

โดยธรรมชาติทุกคนอยากแสวงหาความดี ทุกคนอยากหาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ทุกคนอยากได้บุญกุศล ทุกคนอยากได้ๆ แต่เราเอง กิเลสมันพร่องอยู่ มันอยากให้คนมาค้ำจุน อยากให้คนมาดูแล...มันดูแลอะไร มันวุ่นวาย มันวุ่นวายๆ เขาอยากสงบระงับของเขา ครูบาอาจารย์ท่านหลีกเร้นเพื่อความสงบระงับ ถ้าความสงบระงับ ต้องให้ใครมาดูแล

สติปัญญามันดูแล มีสติมีปัญญาต่างหากนั้นจะดูแล ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา สติปัญญามันรู้เท่าทัน ก็เราละเราวางมา เราสละสิ่งนั้นมา แล้วเราจะไปขัดข้องใจเรื่องอะไร เราสละสิ่งนั้นมา สิ่งที่เราบิณฑบาตเป็นวัตร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาตมา บิณฑบาตเป็นวัตร ได้มาแล้วดำรงชีวิต ข้าวเปล่าก็ฉันไป ฉันเพื่อดำรงชีวิตไว้ ดำรงชีวิตไว้ทำไม? ดำรงชีวิตไว้เพื่อค้นคว้านี่ไง

ถ้าค้นคว้าขึ้นมา จากโลก จากโลกๆ พอปัญญามันเกิดขึ้น พอปัญญามันเกิดขึ้น สัจจะความจริงเกิดขึ้นมันจะซาบซึ้งมาก พอซาบซึ้งมาก ถ้ามีคุณธรรมในใจ ธรรมะค้ำจุนโลก ธรรมะค้ำจุนโลก ดูสิ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียว เวลาสอน ๓ โลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดแหละ เพราะเทวดา อินทร์ พรหมเขาได้ของทิพย์ คนได้ของทิพย์นะ ทิพย์ของเขา เขาใช้เพลิดเพลินกับชีวิตของเขา คนที่ได้ของทิพย์ ทุกอย่างได้สมความปรารถนาตลอดเวลาเลย เขาจะคิดถึงความบกพร่องไหม เขาจะคิดถึงความทุกข์ของเขาไหม เขาจะคิดถึงความบีบคั้นไหม

คนที่เป็นทิพย์เขาจะคิดได้ต่อเมื่อแสงเขาเริ่มเบาลง เขาจะคิดได้ต่อเมื่ออายุขัยเขาจะสั้นลง เขาจะหมดอายุขัยของเขา เขาต้องพลัดพราก วันไหนเขาต้องพลัดพราก วันไหนเขาต้องตายจากวาระที่เขาดำรงชีวิตนั้น เขาจะคิดว่าเขาจะไปเกิดที่ไหน เหมือนเราเลย เหมือนเราจะตาย ตายแล้วไปไหนวะ

แต่ถ้าทำคุณงามความดีของเราแล้ว เรามีเสบียงกรังของเราพร้อมแล้ว ทุกคนนะ แม้แต่เป็นฆราวาส เวลาเขาทำบุญกุศล เขาปฏิบัติของเขา เขามาคุยกับเราบ่อย “หลวงพ่อพร้อม พร้อมที่จะตาย พร้อมแล้วๆ” เขาพร้อมแล้ว เห็นไหม เขาพร้อมแล้วเพราะอะไร เพราะเขาทำของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาของเราแล้ว ถ้าเราพร้อมของเรา เราทำของเรา เรารู้แจ้งของเรา เราไปกลัวสิ่งใด เทวดา อินทร์ พรหมเขาจะระลึกได้ต่อเมื่อเขาต้องพลัดพราก เวลาเขาพลัดพราก เขาจะเศร้าใจเลย เพราะเขาจะเอาสมบัติสิ่งใดไป เพราะทิพย์เขาใช้หมดแล้ว ลงมาอย่างน้อยก็มนุษย์ ถ้าไปก็ลงนรกอเวจีไปเลย เพราะทุกดวงจิตทำดีและทำชั่วมาด้วยกัน

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาสอนทั้ง ๓ โลกธาตุ นี่ศาสนาค้ำจุนโลก ไม่ใช่โลกนี้นะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ๓ โลกธาตุ ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้ แต่ของเราโลกค้ำจุนศาสนา โลกค้ำจุนศาสนา ต้องอาศัยโลก อาศัยโลก อาศัยเขา อาศัยอยู่เฉยๆ ไง แต่เราต้องให้ผู้ที่มาค้ำจุนให้จิตใจเขามีคุณธรรม ธรรมโอสถเอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจเราบ้าง หล่อเลี้ยงหัวใจที่มันคับมันแค้น ดูสิ คนทุกข์คนจน คนเข็ญใจ เขาทุกข์เพราะอะไร เพราะเขาขาดแคลน จิตใจของเรามันขาดแคลนไหมล่ะ

ถ้าจิตใจของเราขาดแคลน จิตใจเราก็คนทุกข์คนจนเหมือนกัน จิตใจของเราก็บกพร่องเหมือนกัน ถ้าจิตใจของเราบกพร่อง ทำไมเราไม่หาค้ำจุนหัวใจของเราล่ะ เราไปเห็นแต่ทรัพย์สมบัติสิ่งนั้นว่าเขาสมบูรณ์ เขาสมบูรณ์ตรงไหน เขาสมบูรณ์ตรงไหน มันสมบูรณ์กันที่หัวใจนี้ต่างหากล่ะ

ถ้ามันจะสมบูรณ์ที่หัวใจ นี่ศาสนาค้ำจุนโลกๆ ไง เพราะศาสนาถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ไอ้นั่นมันสมบัติสาธารณะ ไอ้นั่นมันสมบัตินอกกาย สมบัตินอกกาย แก้วแหวนเงินทองถอดลืมยังเอาไปไม่ได้เลย ไปถอดลืมไว้ในห้องน้ำ เขาต้องประกาศหาเจ้าของ ใส่อยู่กับตัวยังทำหาย แล้วถ้ามันเป็นทรัพย์อริยทรัพย์ภายใน มันอยู่กับใจ มันจะไปไหน ใครจะมาลัก ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ มันเป็นของของเรา อยู่กับเราตลอดไป นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ศาสนาค้ำจุนโลก ถ้าศาสนาค้ำจุนโลก เราเกิดมากับโลก เราเกิดมากับโลกมันเป็นโลกอยู่แล้วแหละ แล้วเราขวนขวายของเรา เราขวนขวาย หน้าที่การงานก็เป็นอันหนึ่งนะ ถ้ามีธรรมะไว้หล่อเลี้ยงหัวใจ ชีวิตเรามันไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก

หลวงตาท่านบอก คนเกิดมามีสองตา ตาหนึ่งคือตาโลก ตาหนึ่งคือตาธรรม ตาโลกคือเรามีการศึกษา มีหน้าที่การงาน เราทำสิ่งใดเพื่อดำรงชีวิต เพื่อดำรงชีวิตจริงๆ ไม่มีอะไรเลย เพื่อดำรงชีวิต ถึงเวลาชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คุณธรรมต่างหากเป็นสมบัติแท้ คุณธรรมต่างหากทำให้จิตใจไม่ว้าเหว่ คุณธรรมต่างหากพร้อมที่จะไปทุกภพทุกชาติ พร้อมที่จะเวียนว่ายตายเกิด แล้วถ้าทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันนี้ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้แจ้งกลางดวงใจนี้ เอวัง